Ezyhaul ยังคงมุ่งมั่นกับการดำเนินการในประเทศไทย
คุณ Raymond Gillon ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Ezyhaul
: Ezyhaul เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2018 จนถึงขณะนี้มีความก้าวหน้าอะไรใหม่ ๆ ในธุรกิจบ้าง
Ezyhaul ก่อตั้งในปี 2016 ในสิงคโปร์และมาเลเซีย ปัจจุบัน เราดำเนินการอยู่ใน 6 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย, อินโดนิเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และไทย โดยเราเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการขนส่งสินค้าด้วยระบบดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียใต้ (Largest digital freight platform in South Asia) เรามีทีมงานทั้งหมดประมาณ 300 คนที่ขนส่งสินค้ากว่า 50,000 ออเดอร์ทุกเดือน เราเริ่มดำเนินงานในประเทศไทยเมื่อช่วงกลางปี 2018 และมีการเติบโตในตลาดนี้อย่างรวดเร็ว
: มีเสียงตอบรับจากลูกค้าอย่างไรบ้าง หลังจากที่เปิดตัวในประเทศไทย
เราได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าของเรา รวมไปถึงแวดวงการขนส่งในประเทศไทยด้วย ในฐานะที่เราเป็นแพลตฟอร์มการขนส่งสินค้าด้วยระบบดิจิทัล Ezyhaul ได้นำเสนอบริการใหม่ให้กับตลาด ด้วยแพลตฟอร์มของเรา ผู้ขนส่งสินค้าในระบบของเราสามารถหาสินค้าเพื่อเติมรถขนส่งให้เต็มได้, เพิ่มประโยชน์การใช้งานของรถขนส่งให้สูงที่สุด และเพิ่มกำไร ทางด้านผู้ส่งสินค้าก็สามารถติดตามการขนส่งได้ตั้งแต่ต้นจนจบ จึงสามารถทำให้บริหารจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
: Ezyhaul มีการปรับตัวอย่างไรในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
Ezyhaul ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยของพนักงานมาเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นเราสนับสนุนให้พนักงานของเราทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ให้มากที่สุด ด้วยความโชคดีที่เราเป็นบริษัทเทคโนโลยี ที่แอปพลิเคชันและข้อมูลต่าง ๆ ของเราทั้งหมดอยู่บนระบบคลาวด์ (cloud-based application) ทำให้พนักงานของเราสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ และเข้าถึงฟังก์ชันในการทำงานที่สำคัญทั้งหมดบนแพลตฟอร์มของเราได้ทุกที่ ตราบใดที่ยังสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ แต่ Ezyhaul ก็ยังมองว่าการมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง และการประชุมที่ทุกคนได้เจอหน้า พบปะ พูดคุยกันยังมีความสำคัญ โดยเราได้มีการนำแอปพลิเคชันประชุมออนไลน์ Zoom และ Teams มาใช้ในที่ทำงาน ช่วยให้เราสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้แบบเดิมทั้งทีม และยังสามารถติดต่อกับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจได้อย่างราบรื่นอีกด้วย
: คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับอนาคตของการขนส่งในประเทศไทย และมองว่าเทคโนโลยีมีบทบาทอย่างไรในการดึงดูดลูกค้าใหม่
ภาคการขนส่งนับว่ายังล้าหลังในการปรับตัวนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ แต่การที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมเริ่มหันมาใช้ให้บริการขนส่งสินค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง Ezyhaul ถือว่าเป็นสัญญาณบวกที่จะช่วยเร่งการเติบโตของอุตสากรรมนี้ได้ ในมุมมองของผม เทรนด์การเติบโตของการเปลี่ยนผ่านภาคการขนส่งไปสู่ดิจิทัลยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 5 ปีต่อจากนี้ จนทำให้ภาพในอนาคตของธุรกิจขนส่งอาจจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเลย สำหรับ Ezyhaul แล้ว เทคโนโลยีคือหัวใจของธุรกิจเรา เรามุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มของเราเพื่อนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในแพลตฟอร์มของเรา และพัฒนาฟังก์ชันใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าของเราอยู่เสมอ ซึ่งเรามองว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญที่จะรักษาฐานลูกค้าเดิมของเราให้พอใจกับบริการ และในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่จะขยายฐานลูกค้าออกไปให้กว้างขึ้นได้อีกด้วย
: แผนการเติบโตของ Ezyhaul ในประเทศไทยเป็นอย่างไร ทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว
ไทยเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับ Ezyhaul เนื่องจากเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และพัฒนากว่าตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ด้วยทำเลที่ตั้งของไทย ที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ทำให้มีข้อได้เปรียบอันโดดเด่นสำหรับการขนส่งสินค้าข้ามประเทศ โดยในขณะนี้ Ezyhaul กำลังลงทุนอย่างหนักเพื่อขยายขนาดองค์กรและขีดความสามารถในการให้บริการในประเทศไทยให้มากขึ้นและเราหวังว่าเราจะสามารถเห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้อย่างต่อเนื่องในอีก 3 ปีต่อจากนี้
: ช่วยเล่าเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่าง Ezyhaul และเชลล์ในประเทศไทยหน่อย
Ezyhaul และเชลล์ร่วมมือกันมาตั้งแต่ปี 2018 เราเริ่มต้นความร่วมมือในมาเลเซีย ซึ่งนับว่าเป็นความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการนำเสนอโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่เป็นรูปธรรมให้ฐานลูกค้าของทั้ง 2 บริษัทจนถึงปัจจุบัน ผู้ขนส่งสินค้าในแพลตฟอร์ม Ezyhaul จำนวนมากต้องจ่ายค่าน้ำมันล่วงหน้า 45-90 วัน ตามข้อตกลงกับลูกค้าและมาตรฐานค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขนส่งสินค้าตามปกติ ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายล่วงหน้า ถึงร้อยละ 20-25 ความร่วมมือระหว่าง Ezyhaul และเชลล์ จึงอำนวยความสะดวกให้ผู้ขนส่งสามารถทำสัญญากับลูกค้าบนแพลตฟอร์มของเรา พร้อม ๆ กับได้เติมน้ำมันที่มีคุณภาพจากเชลล์โดยไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจำนวนมาก นอกจากนี้ Ezyhaul ยังช่วยให้ลูกค้าที่เป็นผู้ขนส่งของเชลล์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งได้อย่างเต็มที่ เพิ่มกำไรและเปิดโอกาสให้ผู้ส่งสินค้าสามารถติดตามการขนส่งได้แบบเรียลไทม์ มากไปกว่านั้นการผนึกกำลังกับ Shell Fleet Card ยังทำให้ผู้ขนส่งสามารถเข้าถึงน้ำมันคุณภาพ, ผลิตภัณฑ์ทางคมนาคม และบริการจากเชลล์ผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย